ตามที่คณะกรรมการประกันสังคมได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๒ ให้นำเงินกองทุนประกันสังคมมาซื้อข้าวสารแจกผู้ประกันตนคนละ ๑ ถุง ถุงละ ๕ กิโลกรัม ให้กับผู้ประกันตนประมาณ ๙.๓ ล้านคน โดยใช้งบประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งมติดังกล่าวไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะว่าคณะกรรมการประกันสังคมมี ๑๕ คน ซึ่งประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล ๕ คน ฝ่ายลูกจ้าง ๕ คน ฝ่ายนายจ้าง ๕ คน
และปัจจุบันนี้ คณะกรรมการประกันสังคมมี ๑๔ คน ซึ่งฝ่ายนายจ้างได้ลาออก ๑ คน และการประชุมในวันดังกล่าวจึงมีคณะกรรมการประกันสังคมเพียง ๑๓ คน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ๕ คน ฝ่ายนายจ้าง ๓ คน ฝ่ายลูกจ้าง ๕ คน ซึ่งมติเห็นด้วย ๖ เสียง ไม่เห็นด้วย ๕ เสียง งดออกเสียง ๒ เสียง
ดังนั้น มติการซื้อข้าวสารแจกผู้ประกันตน ทางสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ นาง อุไรวรรณ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนเท่าที่ควร เหมือนกับ “ตำพริกละลายแม่น้ำ” ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินจำนวนมากและเป็นเงินประกันตน ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของผู้ประกันตน ควรนำเงินมาเพิ่มสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนบางกรณี ดังนี้
๑. กรณีสงเคราะห์บุตรเดิม ตั้งแต่แรกเกิด – ๖ ปีบริบูรณ์ ได้คราวละ ๒ คน สำหรับบุตรคนละ ๓๕๐ บาท/เดือน ควรจะเพิ่มเป็น ๑๒ ขวบ เดือนละ ๕๐๐ บาท
๒. กรณีว่างงาน ปัจจุบันนี้มีลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมากที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนกรณีว่างงานไม่ได้ค่าจ้าง ๕๐% ของค่าจ้าง เนื่องจากผู้ที่ประกันตนขึ้นทะเบียน ได้รับกรณีว่างงานได้ค่าจ้าง ต้องเป็นผู้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนครบ ๖ เดือน จึงจะมีสิทธิได้รับค่าจ้าง
การที่คณะกรรมการประกันสังคมมีมติแจกข้าวสารดังกล่าว ทางสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ไม่เห็นด้วย จึงขอความกรุณามายัง ฯพณฯ ท่านรัฐมนตรี ไพฑูรย์ แก้วทอง ช่วยเหลือต่อไป
ส่วนประเด็นที่ ๒ กรณีคณะกรรมการประกันสังคมมีมติลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้าง ฝ่ายละ ๒.๕% ของค่าจ้าง ซึ่งจะทำให้กองทุนประกันสังคมขาดสภาพคล่องในการจ่ายสิทธิผลประโยชน์ของผู้ประกันตน ทางสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย เห็นว่า การลดอัตราเงินสมทบดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตน ดังนั้น รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณในส่วนกลางมาสมทบในส่วนที่ลด